3/4/55

เพลงพระราชนิพนธ์ 3


ใกล้รุ่ง

ทำนอง: พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช
คำร้อง: พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ
ร่วมกับ ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร


ได้ยินเสียงแว่วดังแผ่วมาแต่ไกลไกล
ชุ่มชื่นฤทัยหวานใดจะปาน
ฟังเสียงบรรเลงขับเพลงประสาน
จากทิพย์วิมานประทานกล่อมใจ

ใกล้ยามเมื่อแสงทองส่อง
ฉันคอยมองจ้องฟ้าเรืองรำไร
ลมโบกโบยมาหนาวใจ
รอช้าเพียงไรตะวันจะมา

เพลิดเพลินฤทัยฟังไก่ประสานเสียงกัน
ดอกมะลิวัลย์อวลกลิ่นระคนมณฑา
โอ้ในยามนี้เพลินหนักหนาแสงทองนวลผ่องนภา
แสนเพลินอุราสำราญ

หมู่มวลวิหคบินผกมาแต่รังนอน
เฝ้าเชยชิดช้อนลิ้มชมบัวบาน
ยินเสียงบรรเลงดังเพลงขับขาน
สอดคล้องกังวานซาบซ่านจับใจ
 



เกร็ดประวัติ


เป็นเพลงสุดท้ายที่พระราชนิพนธ์ขณะที่ยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระราชอนุชา

หลังจากที่ทรงพระราชนิพนธ์เพลงในจังหวะบลูส์และวอลทซ์มาแล้ว ในเพลงนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงเปลี่ยนมาเป็นแจสที่ฟังสบายๆ และทรงเปลี่ยนมาใช้เพนตาโทนิค เมเจอร์ สเกล (Pentatonic Major Scale) ซึ่งค่อนข้างคุ้นหูคนไทย หากเปรียบกับเพลงไทยเดิมซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของดนตรีไทยสากลในยุคแรกๆแล้ว เพนตาโทนิค เมเจอร์ สเกล สามารถเทียบได้กับเพลงไทยสำเนียงลาว เพลงพระราชนิพนธ์ใกล้รุ่งใช้โน้ตในสเกลนี้อย่างแท้จริงโดยไม่มีสเกลอื่นมาปนเลย แต่ก็มีการใช้เสียงแบบครึ่งเสียงอยู่บ้างเล็กน้อย โดยไม่รู้สึกโดดหรือแปร่งแต่อย่างใด คอร์ดที่ใช้เป็นคอร์ดที่นิยมใช้ในดนตรีแจส เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้วจะพบว่าเพลงพระราชนิพนธ์ใกล้รุ่งมีลักษณะเสียงเป็นแจสแบบไทยๆ

ลักษณะพิเศษของเพลงพระราชนิพนธ์ใกล้รุ่งนี้จะพบว่า ทรงจัดวางทำนองโดยทรงเรียบเรียงล้อลักษณะของเพลงไทยเดิม โดยเฉพาะลูกขัดในทุกๆท่อน ซึ่งเมื่อคนไทยในเวลานั้นร้องคลอไปกับเพลงจะรู้สึกชินหูได้ง่าย เพลงพระราชนิพนธ์ใกล้รุ่งนี้ แสดงพระอัจฉริยภาพในการทรงนำลักษณะไทยผสานกับแนวทางตะวันตกได้ชัดเจนและลงตัวมาก

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ ศ.ดร. ประเสริฐ ณ นคร ประพันธ์เนื้อร้องภาษาไทย โดยมิได้ทรงกำหนดพระราชประสงค์ ซึ่ง ศ.ดร. ประเสริฐ ได้ให้สัมภาษณ์ว่าแรงบันดาลใจของเนื้อเพลงนี้มาจากเสียงไก่ขันที่ได้ยินจากข้างบ้าน ประกอบกับเพลงนี้จะนำออกบรรเลงในงานสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทยในเดือนมิถุนายน 2589

“พอดีตอนนั้นสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่ของประเทศไทยเขาจะมีงาน แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 กับสมเด็จพระอนุชาฯ จะเสด็จ ผมก็เลยแต่งให้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับไก่ บ้านที่อยู่นั้น คุณหลวงสุวรรณวาจกกสิกิจ ท่านก็ต้องการจะส่งเสริมการเลี้ยงไก่ เพื่อให้ไก่ที่อยู่ในกรงสามารถไข่ได้มาก แล้วก็ให้อาหารเต็มที่ ตื่นเช้ามาไก่ขันเต็มไปหมดเลย ก็ได้แรงบันดาลใจจากอันนั้น”
ศ.ดร. ประเสริฐเล่าว่าได้ใช้เวลาแต่งเนื้อร้องเพียง 1 ชั่วโมง แต่ด้วยความไม่ชำนาญในโน้ตสากลจึงแต่งในลักษณะ
“จบเพลงวรรคหนึ่งก็ประพันธ์เนื้อไปวรรคหนึ่ง พอจบตอนที่สามไม่ทราบว่าที่มีจุด 2 จุดข้างท้ายโน้ตเพลงหมายความว่าให้บรรเลงย้อนต้น และต้องแต่งท่อนที่ 4 เพิ่มเติมอีก จึงลงท้ายเพลงว่า โอ้ในยามนี้เพลินหนักหนา แสงทองนวลผ่องนภา แสนเพลินอุราเหลือลืม เมื่อจบท่อนที่ 3 ต่อมาเมื่อพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ อธิบายให้ทราบว่าจะต้องแต่งท่อนที่ 4 เพิ่มเติมอีก จึงได้เพิ่ม หมู่มวลวิหคบินผกมาแต่รังนอน เฝ้าเชยชิดช้อนลิ้มชมบัวบาน ส่วนตอนที่ว่า ฟังเสียงบรรเลง ดังเพลงขับขาน สอดคล้องกังวาน ซาบซ่านจับใจ พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ ทรงกรุณาเพิ่มเติมให้”
เนื้อร้องภาษาไทยของเพลงพระราชนิพนธ์ใกล้รุ่งพรรณนาถึงความงามของธรรมชาติยามรุ่งอรุณ ทำให้รู้สึกถึงความสดชื่น รื่นรมย์ และความหวังในวันใหม่ ส่วนเนื้อร้องภาษาอังกฤษที่ท่านผู้หญิงนพคุณ ทองใหญ่ ณ อยุธยา เป็นผู้ประพันธ์โดยพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ ทรงช่วยแก้ไขให้ เนื้อหาในคำร้องภาษาอังกฤษใกล้เคียงกับภาษาไทย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำออกบรรเลงครั้งแรกโดยวงสุนทราภรณ์ในงานสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2489

ที่มาhttp://www.bloggang.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น